วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554
ถั่วเหลือง GMOs
GMOs มาจาก Genetically Modified Organisms หมายถึงสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ที่มีการปรับแต่งยีนจนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตพันธุ์ใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในธรรมชาติ ยีนคือตัวกำหนดพันธุกรรม จะดำจะขาว สูงเตี้ย อ้วนผอม มียีนเป็นตัวกำหนด เปรียบเสมือนพิมพ์เขียวของสิ่งมีชีวิต GMOs คือการตัดต่อยีนเหล่านี้ โดยสลับยีนข้ามพันธุ์กัน ของพืชกับสัตว์ สัตว์กับสัตว์ หรือพืชกับพืช ก็ได้
ถั่วเหลือง เป็นแหล่งโปรตีนสำคัญจากพืชซึ่งราคาถูก และให้ผลดีต่อสุขภาพกว่าโปรตีนจากสัตว์หลายชนิด และถั่วเหลืองจะเป็นศัตรูกับไขมันร้ายๆ อันไม่พึงประสงค์ในร่างกายได้ด้วย ดูอย่างน้ำมันที่มีอยู่ในถั่วเหลืองเขาจัดเป้นกรดไขมันไม่อิ่มตัว ซึ่งสามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลในร่างกายได้ นอกจากนี้ในถั่วเหลืองยังมีเลซิทินเป็นตัวป้องกันไม่ให้ไขมันจับตัวเป็นคราบในหลอดเลือด เขาบอกว่ามันเป็นเหมือนกับการฟอกสบู่ มือมันๆ นี่ ถ้าได้ฟอกสบู่ไขมันก็จะไม่จับมือ ลักษณะเดียวกัน ถ้าหลอดเลือดเกิดมันขึ้น แต่ถ้ามีเลซิทินในหลอดเลือด ไขมันก็จะไม่ตกตะกอนไปจับหลอดเลือด
ถั่วเหลืองพันธุ์ใหม่ ถั่วเหลือง GMOs
สภาพอากาศในบ้านเราเหมาะกับการปลูกถั่วเหลืองมาก แต่เราปลูกไม่พอสำหรับบริโภค เนื่องจากรัฐมีนโยบายเปิดให้นำเข้าถั่วเหลือง อีกทั้งอเมริกาเขาอุดหนุนการส่งออกถั่วเหลืองทำให้ราคาถั่วเหลืองที่ปลูกในประเทศต่ำสู้นำเข้าไม่ได้ เกษตรกรไม่นิยมปลูกกัน
บ้านเราปลูกกันเองได้สองแสนตันต่อปี ไม่มีที่เป็น GMOs เพราะบ้านเรายังห้ามปลูกพืชผักที่เป็น GMOs ยกเว้นปลูกเพื่อการทดลองเท่านั้น แน่นอนว่าเท่านี้ย่อมไม่เพียงพอต่อการบริโภค จึงต้องมีการนำเข้าจากต่างประเทศในปริมาณราวล้านตันกว่าๆ เกือบทั้งหมดคือ 80 เปอร์เซ็นต์ นำเข้าจากอเมริกาและอเมริกาใต้ โดยครึ่งต่อครึ่งเป็นถั่วเหลือง GMOs คิดตัวเลขโดยประมาณก็คือมีถั่วเหลือง GMOs อยู่ถึงสี่แสนตันต่อปี คละเคล้าปนเปอยู่กับถั่วเหลืองธรรมดาทั่วไปในตลาด ที่นำเข้านั้นแบ่งออกเป็น 3 เกรด เกรดเอ เป็ฯเมล็ดถั่วเหลืองที่นำมาบริโภค กิจการรายเล็กรายใหญ่ต่างๆ ซื้อไปทำเต้าหู้ ไปทำนมถั่วเหลือง เกรดบี คุณภาพต่ำลงมาหน่อย เป็ฯประเภทที่โรงงานต่างๆ ซื้อเอาไปหมักทำซีอิ๊ว ทำซอสต่างๆ และกรดซี คือกากถั่วเหลืองซึ่งเอาไปทำอาหารสัตว์ในฟาร์ม เลี้ยงไก่ เลี้ยงหมู เลี้ยงวัว เลี้ยงปลา หรือกุ้งกุลาดำ
ดังนั้นไม่ว่าถั่วเหลือง GMOs จะดีไม่ดีอย่างไร เราก็อาจจะรับมันเข้าไปในร่างกายได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทางตรงก็ได้จากการบริโภคโดยตรงจากเต้าหู้ น้ำเต้าหู้ ซีอิ๊ว เต้าเจี้ยว ซอสถั่วเหลือง น้ำมันถั่วเหลือง และทางอ้อมก็จากสัตว์ต่างๆ ที่กินกากถั่วเหลือง GMOs เข้าไปเป็นอาหาร
วัตถุประสงค์ คือให้ได้พันธุ์พืชใหม่ๆ ที่มีประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นพันธุ์พืชที่มีสารอาหารบางอย่างเพิ่มขึ้นมา พันธุ์พืชที่ทนต่อแมลงรบกวนทนต่อดินฟ้าอากาศ เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งก็ได้ผล เป็นไปตามวัตถุประสงค์
แต่ของพวกนี้เขาว่าเป็นเรื่องของการฝืนธรรมชาติ และของเหล่านี้ก็ใช้เป็นอาหารที่คนเราต้องรับเข้าไปในร่างกาย จะเกิดผลข้างเคียงร้ายแรงเพียงใดก็เกิดการหวาดหวั่นกันอยู่ เนื่องจากหลังจากที่ GMOs เป็นที่แพร่หลาย ก็ได้มีงานวิจัยศึกษาถึงผลข้างเคียงของมันที่มีต่อผู้บริโภค หลายต่อหลายชิ้นบ่งชี้ว่ามันเป็นอันตราย
อันตรายของ GMOs
โดยสรุปแล้วอันตรายจากพืชผักตัดต่อยีนมีอยู่ 3 เรื่องใหญ่ๆ
หนึ่ง คือ เรื่องภูมิแพ้อาหาร โดยปกติทั่วไปคนเราบางคนมักจะมีภูมิแพ้อาหารที่แตกต่างกันไป ที่อเมริกามีการสำรวจพบว่า ประชากรหนึ่งในสี่มีภูมิแพ้อาหารบางอย่าง เช่น บางคนแพ้อาหารทะเล บางคนแพ้ถั่วบางชนิด รู้กันอยู่ว่าพืชผักตัดต่อพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งไปใส่ในสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง ฉะนั้นจึงเกิดการถ่ายทอดวารที่เกิดภูมิแพ้ติดมาด้วย
ยกตัวอย่างถั่วเหลืองนี่แหละ ที่อเมริกามีบริษัทบริษัทหนึ่งมีโครงการดัดแปลงพันธุกรรมถั่วเหลือง โดยเอายีนของถั่วบราซิลมาตัดต่อใส่เข้าไปในถั่วเหลือง เพื่อเพิ่มโปรตีนในถั่วเหลือง แต่ปรากฏว่าถั่วเหลืองมีสารภูมิแพ้จากถั่วบราซิลติดมาด้วย หากคนที่แพ้ถั่วบราซิลเกิดมากินถั่วเหลืองพันธุ์นี้โดยไม่รู้ ก็จะเกิดอาการแพ้ขึ้นได้
กรณีนี้นับว่าโชคดีที่มีการตรวจพบข้อผิดพลาดขึ้นก่อนในช่วงทดลอง ไม่อย่างนั้นถ้าปล่อยออกไปคงโกลาหล
เรื่องที่สอง คือ เรื่องของการถ่ายทอดความต้านทานยาปฏิชีวนะเทคนิควิธีในการตัดต่อยีนนั้น เขาจะต้องมีการกำหนดยีนเครื่องหมาย หรือ Marker Gene เอาไว้ เพื่อจะได้แยกแยะได้ถูกว่าอันไหน GMOs อันไหนไม่ใช่ GMOs
ตัวยีนเครื่องหมายที่ใส่เข้าไป เขาใช้ยีนต้านทานยาปฏิชีวนะ ตอนจะแยกแยะเขาก็ใช้ยาปฏิชีวนะนี่แหละฉีดพ่นเข้าไป เมล็ดพันธุ์ตัวไหนตายก็คือว่าไม่มียีนต้านทานยาปฏิชีวนะ ก็ไม่ใช่ GMOs ส่วนเมล็ดไหนตรงกันข้ามก็คือใช่
ทีนี้หากมีคนบริโภคอาหาร GMOs เหล่านี้เข้าไป ยีนต้านทานยาปฏิชีวนะนะถูกถ่ายทอดไปสู่แบคทีเรียในกระเพาะอาหาร มีผลให้แบคทีเรียเหล่านั้นสามารถต้านทานยาปฏิชีวนะเพิ่มขึ้น แล้วถ้าเกิดว่าแบคทีเรียพวกนั้นเป็นแบคทีเรียที่ก่อโรคในสัตว์และมนุษย์ก็จะปราบมันได้ยากมากขึ้น เพราะมันต้านทานยาปฏิชีวนะเสียแล้ว
เรื่องที่สาม คือ สารพิษที่เกิดขึ้นในอาหาร เขาว่าอาหารดัดแปลงพันธุกรรมมีโอกาสที่จะมีระดับสารพิษเพิ่มขึ้นหรือสามารถสร้างสารพิษชนิดใหม่ขึ้นในอาหารได้ มีตัวอย่างปัญหาที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว บริษัทแห่งปนึ่งในญี่ปุ่นได้ผลิตอาหารเสริมโดยการตัดต่อยีนจากแบคทีเรียเพื่อให้ได้โปรตีนไทรโทเฟน เมื่อปล่อยออกสู่ตลาดถึงผู้บริโภค ปรากฏว่ามีผู้บริโภคเกือบ 5,000 รายป่วยด้วยอาการของโรค Eosinophilia Myalgia Syndrome กว่าจะค้นพบสาเหตุก้ฒีคนตายไป 37 ราย และพิการถาวรเกือบ 1,500 คน เหล่านี้เป็นผลเสียในระยะสั้น
ผลระยะยาวๆ ใครจะเสี่ยง
แต่ผลในระยะยาวที่ไม่มีใครคาดเดาได้นั้นก็เป็นที่หวั่นแกรงกันอยู่ ถ้าเราเอางานวิจัยชิ้นหนึ่งมาคิดกันดู ซึ่งเป็นงานวิจัยเกี่ยวกับ GMOs ชิ้นดังของ ดร.พุสชตัยที่ทดลองกับหนู โดยให้หนูกินมันฝรั่ง GMOs เป็นเวลา 110 วัน ปรากฏว่าเกิดเซลล์ผิดปกติขึ้นในตัวหนูซึ่งอาจกลายพันธุ์เป็นมะเร็ง
ปกติหนูมีช่วงอายุประมาณ 600 วัน กินมันฝรั่งไป 110 วัน ก็เป็นหนึ่งในหกของอายุ เมื่อเทียบกับคนเรา โดยพันธุกรรมแล้วมีอายุยืนยาวได้ถึง 120 ปี หนึ่งในหกก็คือ 20 ปี ดังนั้นผลต่อสุขภาพบางอย่างมันต้องดูกันยาวๆ แล้วระหว่างนี้ใครจะเสี่ยงล่ะ
สำหรับในกรณีถั่วเหลือง การดัดแปลงพันธุกรรมเขาพยายามใส่สารโปรตีนกรดแอมิโนจำเป็นให้มันครบส่วน ซึ่งถั่วเหลืองโดยปกติมันจะพร่องกรดแอมิโน Methipnine
ปัญหาของถั่วเหลือง GMOs ที่พบกันคือ มันจะมีสารไฟโตเอสโตรเจนสูงกว่าปกติ บางคนบอกว่ามันสูงมากๆ ไฟโตรเอสโตรเจนตัวนี้ ดังที่กล่าวแล้วว่าโดยปกติมันจะไปสกัดกั้นฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายเรา ช่วยป้องกันมะเร็งได้แต่ถ้ามันมีปริมาณสูงมากๆ ก็อาจจะกลับกันกลายเป็นตัวกระตุ้นเซลล์มะเร็งเสียเอง
ฉะนั้นการติดฉลากว่าอาหารตัวไหนเป็น GMOs จึงน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด ใครที่เชื่อถือศรัทธาเห็นดีกับอาหาร GMOs ว่าไม่มีพิษภัย ก็เลือกซื้อเลือกหามารับประทานกันไป ส่วนใครยังไม่แน่ใจเห็นว่ายังมีปัญหาอยู่ ก็หลีกเลี่ยงเสียได้ ซึ่งก็เป็นที่น่ายินดีว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างสำนักงานคณะกรมการอาหารและยา หรือ อย. นั้น มีนโยบายที่จะให้ติดฉลาก GMOs ออกมาชัดเจนแล้ว
ขณะที่ทรัพยากรธรรมชาติลดลงอย่างมากทำให้ผลผลิตมีจำกัด ประกอบกับความเสียหายที่เกิดจากเชื้อโรค รวมทั้งปัญหาเรื่องแมลง วัชพืช และศัตรูพืชต่างๆ จึงทำให้มีการนำเทคนิคการดัดแปรสารพันธุกรรมไปใช้ในการเพาะปลูกในเชิงการค้า เพราะมีข้อได้เปรียบหลายอย่างเมื่อ เทียบกับวิธีการปกติ สำหรับกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยนั้น เนื่องจากยังมีข้อสงสัยว่าอาหารที่ได้จากการดัดแปรพันธุกรรมนั้นมีความปลอดภัยต่อการบริโภคจริงหรือไม่ และมีผลกระทบต่อสุขภาพอย่างไร หากแต่ในปัจจุบัน อาหาร GMOsที่มีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดขณะนี้เป็นอาหารที่ผ่านการประเมินความปลอดภัยโดยหน่วยงานที่รับผิดชอบของแต่ละประเทศ ซึ่งการประเมินความปลอดภัยทางด้านวิทยาศาสตร์ในทุกขั้นตอนการผลิตบนหลักการเดียวกัน คือ การประเมินความปลอดภัยต่อมนุษย์ และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นการประเมินอย่างละเอียดรอบคอบ เพื่อให้มั่นใจได้ว่า อาหารที่ได้จากการดัดแปรพันธุกรรมก่อให้เกิดอันตรายต่อมนุษย์น้อยที่สุด ทั้งนี้ การประเมินความปลอดภัยนั้นจะให้ความสำคัญเป็นพิเศษในเรื่อง สารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ และการถ่ายทอของยีนที่สอดใส่เข้าไปจากอาหารดัดแปรพันธุกรรมไปสู่พืชปกติอื่นๆ ในธรรมชาติ แต่ยังคงมีผู้วิตกกังวลถึงผลกระทบของอาหาร GMOs ต่อสุขภาพบางประการ ได้แก่ การเกิดโรคติดต่อจากเชื้อไวรัสที่นำมาใช้ในการตัดต่อยีน โรคไม่ติดต่อหรือโรคเรื้อรังบางชนิดที่ได้รับอิทธิพลจาการเปลี่ยนแปลงของยีน รวมไปถึงความสามารถในการต่อต้านสารปฏิชีวนะของร่างกาย จึงทำให้ผู้บริโภคยังคงต้องให้ความสำคัญกับอาหาร GMOs อยู่
ถึงแม้ว่าในปัจจุบัน ประเทศที่เป็นตลาดส่งออกสินค้าของไทย ไม่ได้ห้ามการนำเข้าสินค้าเกษตรหรืออาหารGMOs แต่มีหลายประเทศที่มีกฎ ระเบียบ หรือกำลังพิจารณาออกกฎระเบียบควบคุมการนำเข้าสินค้าชนิดนี้ สำหรับประเทศไทยเรา ก็มีการนำเข้าสินค้าอาหารที่ทำมาจากพืชอาหาร ชนิดที่มักมีการดัดแปรพันธุกรรม เพื่อการเพาะปลูกในเชิงการค้า เช่น ข้าวโพด และถั่วเหลือง อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการนำเข้ามาเพื่อใช้เป็นอาหารปศุสัตว์ นำเข้ามาเป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหาร หรือในลักษณะของอาหารสำเร็จรูป ก็ตาม เพื่อเป็นการเฝ้าระวังการใช้พืช GMOs ในประเทศไทย ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)